แอพพลิเคชั่นสำหรับคนใช้รถ..

แอพพลิเคชั่นสำหรับคนใช้รถ

               ปฏิเสธไม่ได้ว่า “Google Maps” แอปพลิเคชันค้นหาสถานที่และนำทางพร้อมคำนวณเวลาไปในสถานที่นั้นๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญกับคนใช้รถยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ยังมีแอปพลิเคชันอีกหลายตัว ที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถ ซึ่งวันนี้เราจะรวบรวมมาฝากกัน

1. Thailand Highway Traffic : ส่องการจราจรแบบเรียลไทม์

นอกเหนือจาก Google Maps แล้ว ในเมืองไทยยังมีแอปฯ ของกรมทางหลวง ที่แสดงข้อมูลในการเดินทางและเส้นทางเดินรถของคุณที่ลงลึกมากขึ้น อาทิ การแสดงภาพการจราจรปัจจุบัน จากกล้องจราจร CCTV กว่า 100 ตัว รวมถึงยังแสดงข้อมูลความเร็วรถ และอัตราการไหลของรถได้อีกด้วย

2. iON GO : แอปฯ ให้คะแนนการขับขี่

แอปพลิเคชัน iON GO ถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มบริษัทเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งแอปฯ ตัวนี้สามารถตรวจจับความเร็วและอัตราการเร่งของคุณให้โดยอัตโนมัติ และคำนวณออกมาถึงประสิทธิภาพในการขับขี่ โดยเฉพาะการทำความเร็วตามกฎหมายกำหนด และคำนวนเป็นคะแนนออกมา ที่สำคัญหากยิ่งทำคะแนนได้มาก ก็สามารถคำคะแนนดังกล่าวไปใช้เป็นโปรโมชั่นร้านค้าต่างๆ ได้อีกด้วย

3. WE4CAR : รีวิวอู่ซ่อมรถ

รถเสีย ต้องซ่อม! ถือเป็นเรื่องปกติของคนใช้รถ ปัจจุบันภาคเอกชนมีการพัฒนาแอปฯ WE4CAR ที่เน้นไปที่การรีวิวอู่ซ่อมรถยนต์และรวบรวมอู่ซ่อมรถยนต์ทั่วประเทศ สามารถแสดงพิกัดอู่ซ่อมรถที่ได้มาตรฐานตามโลเคชั่นของผู้ใช้งาน ถือเป็นการยกระดับและสร้างภาพลักษณ์ให้กับอู่รถยนต์ในประเทศไทยให้เป็นที่น่าเชื่อถือต่อผู้บริโภคยิ่งขึ้น

4. SaveDrives : เปลี่ยนสมาร์ทโฟน เป็นกล้องติดรถ

ทุกวันนี้กล้องติดรถยนต์กลายเป็นอีกหนึ่งพยานปากสำคัญหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดบนท้องถนน และบริษัทประกันบางรายถึงกับลดเบี้ยประกันให้เป็นพิเศษสำหรับรถที่มีกล้องติดหน้ารถ แอปฯ SaveDrives นี้ สามารถแปลงโทรศัพท์มือถือของคุณให้เป็นกล้องติดหน้ารถได้อย่างง่ายดาย โดยนอกจากจะสามารถบันทึกภาพแล้ว ยังสามารถบอกพิกัด และสามารถตัดต่อไฟล์เพื่อส่งเป็นหลักฐานในกรณีเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย

5. แอปฯ หาที่จอดรถ

ปัญหาที่จอดรถเป็นอีกหนึ่งปัญหาชวนปวดหัวของคนใช้รถในกรุงเทพมหานคร แอปฯ ที่http://xn--82cyg5c6b.com/ ที่พัฒนาต่อยอดมาจากเว็บไซต์ สามารถทำให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปได้ โดยไม่ว่าคุณจะไปสถานที่แห่งใดก็ตาม มันสามารถค้นหาและจองที่จอดรถใกล้คุณได้ ทั้งในรูปแบบฟรี และเสียค่าบริการ รวมถึงในบางสถานที่คุณสามารถจองที่จอดรถล่วงหน้าได้อีกด้วย

6. MEA EV : หาพิกัดที่ชาร์จรถ EV และปลั๊กอินไฮบริด

ในยุคที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เราเริ่มที่จะเห็นจุดชาร์จไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ MEA EV คือแอปฯ ของการไฟฟ้านครหลวงที่พัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานทั้งรถ EV และปลั๊กอินไฮบริด โดยสามารถแสดงตำแหน่งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากทุกผู้ให้บริการ สามารถจองหัวชาร์จในสถานี รวมถึงสั่งเริ่มและหยุดชาร์จผ่านทาง แอปพลิเคชันได้ด้วยเช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก iStock
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tonkit360, sanook.com

6 วิธีเช็คสภาพรถหลังกลับจากเดินทางไกล

6 วิธีเช็คสภาพรถ หลังกลับจากเดินทางไกล

 สิ่งที่ควรตรวจเช็คสภาพหลังกลับจากเดินทางไกล มีดังนี้
 1.เช็คน้ำมันเครื่อง
          ควรเช็คระดับน้ำมันเครื่องเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในระดับปกติ โดยระดับของน้ำมันไม่ควรพร่องลงไปจากระดับที่วัดก่อนการเดินทางมากนัก หากพบว่าน้ำมันเครื่องพร่องลงไปมากหรือต่ำกว่าระดับ MIN ก็ควรตรวจเช็คว่ามีการรั่วซึมจุดใดหรือไม่
         นอกจากนั้นควรเช็คสภาพน้ำมันเครื่องว่าไม่ดำจนเกินไป รวมถึงไม่มีเศษเขม่าเจือปนอยู่ หากพบก็ควรหาเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่ไปเลย
นอกจากนั้นควรเช็คสภาพน้ำมันเครื่องว่าไม่ดำจนเกินไป รวมถึงไม่มีเศษเขม่าเจือปนอยู่ หากพบก็ควรหาเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่ไปเลย
2.เช็คสภาพและลมยาง
         การเดินทางไกลอาจส่งผลให้ความดันลมยางลดลง จึงควรเช็คลมยางเมื่อมีโอกาส เพื่อป้องกันการสึกหรอของยางและลดโอกาสเกิดอันตรายจากการขับด้วยความเร็วสูง นอกจากนั้นยังควรตรวจสภาพยางว่าไม่มีอะไรเข้าไปทิ่ม อุด ตำ จนเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วซึมอย่างช้าๆ
         หากพบว่าล้อใดล้อหนึ่งมีความดันลมน้อยผิดปกติ ให้สันนิษฐานว่าล้อข้างนั้นอาจมีอะไรทิ่มเข้าไปแล้วคาอยู่ในเนื้อยาง เป็นเหตุให้เกิดการรั่วซึมอย่างช้าๆ ทางที่ดีควรปะยางหรือเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย
3.เช็คน้ำหล่อเย็น
         ควรตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็น ทั้งในหม้อน้ำและหม้อพักน้ำ ทางที่ดีน้ำหล่อเย็นไม่ควรลดระดับไปมากนักเมื่อเทียบกับก่อนเดินทางไกล และควรเติมให้ได้ระดับพอดีก่อนใช้งานต่อไป
4.เช็คช่วงล่างและระบบกันสะเทือน
         การขับรถไปยังที่ที่ไม่คุ้นทาง อาจส่งผลให้ขับตกหลุมได้ ซึ่งหากเป็นหลุมเล็กๆก็คงไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นหลุมขนาดใหญ่ อาจส่งผลให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปได้ ให้ลองเช็คเบื้องต้นด้วยการปล่อยพวงมาลัยขณะที่รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หากรถยังคงสามารถวิ่งไปตรงๆ ก็ไม่มีปัญหา ทั้งนี้ควรเช็คสภาพถนนว่ามีการลาดเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลให้รถแฉลบออกด้านข้างได้เช่นกัน
         นอกจากนั้นยังควรตรวจสอบด้วยการฟังดูว่ามีเสียงผิดปกติขณะขับผ่านทางขรุขระหรือไม่
5.เช็คไส้กรองอากาศ
         การเดินทางไปต่างจังหวัดอาจต้องขับผ่านถนนที่มีฝุ่นมากกว่าปกติ จึงควรเช็คไส้กรองอากาศว่ามีสิ่งสกปรกอุดตันอยู่หรือไม่ หากมีก็ควรเป่าออก หรือเปลี่ยนไส้กรองใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
         หากเป็นกรองชนิดแห้งปกติ ถ้าไม่มีฝุ่นมากจนเกินไปนัก สามารถเป่าสิ่งสกปรกออกได้ แต่หากเป็นไส้กรองชนิดเคลือบน้ำมันจะไม่สามารถทำความสะอาดได้ ต้องเปลี่ยนอย่างเดียว
6.เช็คสภาพตัวถัง
         ควรล้างรถเมื่อมีโอกาส เพราะฝุ่นควันที่ติดมานั้น อาจสร้างผลกระทบต่อชั้นสีในระยะยาวได้ จากนั้นจึงควรเช็ครอบตัวรถว่ามีรอยบุบหรือรอยขูดขีดใดๆหรือไม่ เพื่อจะได้พิจารณาเคลมประกันหรือทำสีต่อไป (หรือปล่อยไว้เฉยๆก็ไม่ว่ากัน)
          ขั้นตอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม เนื่องจากเห็นว่ากลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพแล้วก็จบกันไป แต่หากปฏิบัติได้ตามวิธีขั้นต้นนี้แล้วล่ะก็ จะช่วยให้เจ้าของรถสามารถตรวจพบความผิดปกติเบื้องต้นได้ ก่อนปัญหาจะลุกลามใหญ่โตนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูล auto.sanook.com 

5 รุ่น รถยอดนิยมในตลาดรถมือสอง

5 รุ่น รถยอดนิยมในตลาดรถมือสอง

              ส่วนมากแล้วเวลาเราเดินไปตาม เต็นท์รถมือสอง เราอาจเห็นว่ามีรถอยู่หลายรุ่น หลายยี่ห้อ จอดเรียงรายเต็มไปหมด แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีรถบางรุ่นที่จะเยอะกว่าใครเพื่อนอยู่เสมอ ซึ่งรถเหล่านั้นมักถูกเรียกว่า รถตลาด คือรถที่คนทั่วไปนิยมใช้งานกันเมื่อนำมาขายต่อเป็นรถมือสองก็ได้ราคาสูง ไม่ค่อยตกรุ่นเท่าไหร่นัก ลองมาดูกันว่า 5 รุ่นรถยอดนิยมที่มักถูกนำมาขายเป็นรถมือสองมีรถรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรกันบ้าง

  • Toyota Vios – รถสำหรับคนเมืองขนาดย่อมจากโตโยต้าที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันดี ด้วยกำลังเครื่องราว 1,500 CC ทำให้รถคันนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมสุด ๆ ที่จะใช้งาน ไม่แปลกหากคนส่วนใหญ่เมื่อเลือกซื้อรถคันแรกจะเลือกซื้อ Vios เพราะนอกจากคุณภาพจะเหมาะกับการขับขี่ในเมืองแล้วเวลานำมาขายเป็นรถมือสองก็ได้ราคาดี
  • Honda City – หากฝั่งโตโยต้ามี Vios ทางฝั่งฮอนด้าก็ต้องมี City เป็นรุ่นรถที่สู้กันมาอย่างยาวนานด้วยคุณสมบัติที่คล้ายกันแทบทุกอย่างทำให้รถรุ่นนี้จากฮอนด้าถือเป็นรุ่นยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็มักตามหา และพอต้องการรถรุ่นใหม่กว่า City ก็มักถูกนำมาขายเป็นรถมือสองดังที่เห็นกัน อีกทั้งความเป็นแบรนด์ของฮอนด้ายังไงก็ได้ราคาดีเห็น ๆ
  • Honda Civic – รถอีกคันจากฮอนด้าที่ขยับความแรงของเครื่องขึ้นมาหน่อยแต่จุดเด่นมาก ๆ ของ Civic คือ การออกแบบ ไม่ว่ารุ่นไหนที่ออกมามักจะสวยงามและโดนใจคนใช้รถเสมอ ไม่แปลกที่รักเห็นคนซื้อรถมือสองรุ่นนี้ไปแต่งหรือนำไปใช้งานต่อกันเยอะ และแน่นอนคนที่ซื้อมือหนึ่งมาเวลาปล่อยเป็นรถมือสองก็ได้ราคาดี
  • Suzuki Swift – รถอีโค่ คาร์จากค่ายซูซูกิที่มีจุดเด่นเรื่องการออกแบบรถที่คล้าย ๆ กับมินิคูเปอร์ทำให้ยอดขายพุ่งสูงมากและพอคนที่ซื้อไปมาขายเป็นรถมือสองเพราะต้องการขยับรุ่นใหญ่กว่า รถก็ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย
  • Toyota Fortuner – ปิดท้ายด้วยรถครอบครัวรุ่นใหญ่ที่มักถูกนำมาขายเป็นรถมือสองอยู่เสมอ ด้วยความที่นั่งสบาย คันใหญ่ บรรทุกคนได้เยอะ ไม่แปลกที่รถรุ่นนี้เมื่อซื้อมาแล้วจะขายเป็นรถมือสองได้ราคาดีมาก
นี่คือ 5 รุ่นรถยอดนิยมที่มักถูกนำมาขายเป็นรถมือสองแต่ยังคงได้รับความนิยมในตลาดอยู่มากทีเดียว ใครกำลังมองหารถมือสองดี ๆ ราคาย่อมเยา แนะนำทั้ง 5 รุ่นนี้ได้เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.cash24car.com/5-popular-car/

ออกรถที่ “เสรีไทย รถสวย” ได้ของแถมอะไรบ้าง?

ออกรถที่ "เสรีไทย รถสวย" ได้ของแถมอะไรบ้าง

                                       👑 สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าเสรีไทยรถสวย 👑
                                          💎 ออกรถที่เรา ได้รับบริการระดับ VIP 💎

รถเสีย แบตหมด น้ำมันหมด ยางแตก ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน ในประเทศไทย เราก็พร้อมไปช่วยเหลือคุณทุกที่ ด้วยบริการ GPS 24 hr. ที่เรามอบให้คุณ ไม่มีค่าบริการในการเรียกรถ บริการรถยก รถสไลด์ ตลอด 24 ชั่วโมง มีเครือข่ายรถยกมากกว่า 1,500 คัน ทั่วประเทศ ชีวิตจะง่ายขึ้น สะดวกสบาย ปลอดภัย 100%

                                             

                                             

ยูทูปแนะนำการใช้บริการ https://youtu.be/cn6dvRJ3xz0

                                         ► ทำไมต้องเลือกซื้อรถที่เสรีไทยรถสวย ◄

 ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล
 ราคามาตรฐาน
 เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก ออกรถง่าย ซื้อได้ทุกอาชีพ
 สิทธิดอกเบี้ยพิเศษ จากสถาบันการเงินชั้นนำ
 อนุมัติภายใน 3 ชั่วโมง
 รถทุกคันไม่มีการชนหนัก พลิกคว่ำ หรือจมน้ำ หากตรวจพบ ทางเรารับซื้อคืน 100%
 รับประกันซ่อมศูนย์บริการ 1 ปี หรือ 15,000 กิโลเมตร
 บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
 รับประกัน ไมล์แท้ทุกคัน
 ฉลากรถยนต์ใช้แล้ว รับรองโดยสคบ.
 มีความชำนาญ ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี
 ดำเนินธุรกิจในรูปบริษัทจำกัด (จดทะเบียนปี 2557)
 เป็นสมาชิกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว
 การันตีด้วยการได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการดีเด่น 2 ปีซ้อน โดยเลขาฯ สคบ.
 โชว์รูมมาตรฐาน และมีสาขาให้บริการ 3 สาขา
 มั่นใจด้วยจำนวนแฟนเพจติดตามกว่า 150,000 คน (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2561)
———————————————-
► สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางไลน์ @surat999
► ดูรถทั้งหมด website : www.serithairodsuay.com/
► ชมคลิปทั้งหมด https://bit.ly/2ndfgeZ
► Instagram : instagram.com/serithairodsuay/
📲 หรือโทร.. 095-030-4555 พี่หมู

 

ข้อดีของ “รถยนต์มือสอง” ที่ป้ายแดงเทียบไม่ติด!!!

ข้อดีของ "รถยนต์มือสอง" ที่ป้ายแดงเทียบไม่ติด !!

 หลายคนเมื่อพูดถึง รถมือสอง ก็เบือนหน้าหนีแล้ว แต่รถมือสองก็มีข้อดีชนิดที่ว่ารถป้ายแดงเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

     แม้ว่าปัจจุบันค่ายรถจะมีโปรโมชั่นฟรีดอกเบี้ย ดาวน์น้อย ผ่อนนาน ของแถมเพียบขนาดไหน แต่ตลาดรถยนต์มือสองก็ยังได้รับความนิยมอยู่เรื่อยๆ ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งเหตุผลที่รถมือสองถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใครหลายคน มีดังนี้

1.ราคาต่ำกว่าป้ายแดงมาก

     ราคารถยนต์มือสองถือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อรถมือสองมาใช้งาน เนื่องจากยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ราคาตัวรถก็จะยิ่งถูกลง โดยเฉพาะเมื่อรถรุ่นเดียวกันมีการออกโมเดลใหม่ ก็มีส่วนทำให้ราคามือสองขยับต่ำลงได้อีกเช่นกัน

     ยกตัวอย่างเช่น Toyota Corolla Altis 1.6 G รุ่นปี 2014 (โมเดลปัจจุบัน) ราคาป้ายแดงอยู่ที่ 829,000 บาท ปัจจุบันหาซื้อมือสองสภาพดีได้ในราคา 4 แสนบาทต้นๆ เท่านั้น

2.ได้รถขนาดใหญ่กว่า คุณภาพดีกว่า

     หลายคนมักคิดว่าของใหม่ย่อมดีกว่าของใช้แล้วเสมอ แต่สำหรับรถยนต์อาจไม่จริงเสมอไปนัก เพราะการซื้อรถยนต์มือสอง อาจทำให้คุณได้รถรุ่นใหญ่กว่า ที่มีระบบความปลอดภัยและโครงสร้างตัวถังดีกว่า นี่ยังไม่รวมไปถึงคุณภาพวัสดุและการประกอบของรถรุ่นเล็กที่อาจไม่ดีเท่ากับรุ่นใหญ่

     แต่ทั้งนี้ รถมือสองจำเป็นต้องเลือกคันที่ไม่เคยชนหนักมาก่อน เนื่องจากความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังจะลดลง ส่งผลต่อความปลอดภัยอย่างมากในกรณีเกิดการชน

3.ค่าเสื่อมราคาน้อยกว่าป้ายแดง

     “รถ เท่ากับ ลด” เป็นสิ่งที่ใครหลายคนได้ยินกันบ่อย ทันทีที่คุณถอยรถป้ายแดงออกจากโชว์รูม มูลค่าตัวรถก็ลดลงนับแสนบาทแล้ว แต่สำหรับรถมือสองไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมูลค่ารถมือสองหล่นลงจากป้ายแดงมาก้อนใหญ่แล้ว หากคุณซื้อรถมือสองมาใช้สัก 1 ปี แล้วเกิดอยากเปลี่ยนคันใหม่ มูลค่าอาจลดลงเพียงหลักหมื่นบาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับมูลค่าที่คุณซื้อมาด้วย

4.ซื้อเงินสดได้ง่ายกว่า

     รถยนต์มือสองมีราคาต่ำกว่าป้ายแดงมาก จนหลายคนนำเงินเก็บสะสมไปซื้อรถยนต์มือสองด้วยเงินสด โดยไม่ต้องเป็นหนี้ให้ปวดหัว แถมยังสามารถเก็บเงินก้อนใหม่ได้เร็วขึ้น นำเครดิตทางการเงินที่มีไปใช้กับทรัพย์สินอื่น เช่น บ้าน, คอนโดมิเนียม หรือนำไปลงทุนอื่นๆ ก็ยังได้

                   อย่างไรก็ดี รถยนต์มือสองใช่ว่าจะซื้อง่ายเหมือนกับรถใหม่นะคะ เพราะจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบรถยนต์แต่ละคันอย่างรอบคอบ เปรียบเทียบคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันอย่างละเอียด เพื่อให้เจอรถมือสองสภาพดีจริงๆ ไม่ถูกย้อมแมว ซื้อขายถูกต้องตรงไปตรงมา จึงจะช่วยให้ใช้รถมือสองได้อย่างสบายใจนั่นเองค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://auto.sanook.com/65897/

พ่วงแบตเตอร์รี่รถยนต์ให้ถูกต้อง ทำอย่างไร?

พ่วงแบตเตอร์รี่รถยนต์ให้ถูกต้อง ทำอย่างไร?

                           วิธีง่ายๆ แต่ใช้ได้ผล พ่วงแบตเตอร์รี่ รถยนต์อย่างไรให้ถูกต้อง!? 

            หลายคนอาจเคยตกอยู่ในสถานการณ์รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากแบตเตอร์รี่หมด จนต้องอาศัยคันอื่นมาช่วยพ่วงแบตเตอร์รี่

การพ่วงแบตเตอร์รี่ คือ หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น เมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์นั้น  ซึ่งในครั้งนี้ serithairodsuay.com มีขั้นตอนการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์แบบง่ายๆ มาแนะนำกันค่ะ

1. ดับเครื่องรถคันที่มาช่วย ปิดสวิตช์และอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้ง 2 คัน

2. ต่อสายพ่วงแบตเตอร์รี่ ตามลำดับต่อไปนี้

          (1) ต่อสายสีแดงที่ขั้ว + ของรถคันที่แบตเตอร์รี่หมด

          (2) นำไปต่อกับขั้ว + ของคันที่มีแบตเตอร์รี่ (สังเกตุขั้ว + จะมีพลาสติกสีแดงครอบอยู่ หรือมีสัญลักษณ์ + กำกับไว้)

          (3) ต่อสายสีดำที่ขั้ว – ของรถคันที่มีแบตเตอร์รี่

          (4) นำปลายอีกด้านหนีบเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของรถคันที่แบตเตอร์รี่หมด เช่นตัวถัง หรือน็อตต่างๆ

                                                                         ***อย่าต่อที่ขั้วลบโดยตรง เพื่อป้องกันการระเบิด***

 

3. สตาร์ทรถคันที่มีแบตเตอร์รี่ ไว้ประมาณ 3 นาที เร่งเครื่องเล็กน้อย เพื่อให้มีการไหลเวียนประจุไฟฟ้า

4. สตาร์รถคนที่แบตเตอร์รี่ หมด เร่งเครื่องประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพื่อเป็นการตรวจสอบประจุไฟในแบตเตอรี่

5. เมื่อเสร็จแล้ว ถอดสายพ่วงแบตเตอร์รี่ ออก โดยย้อนขั้นตอนในข้อ 2. เป็น (4-3-2-1) อีกครั้งนะครับ

 

ข้อควรระวัง: แม้ว่าการพ่วงแบตเตอรี่ รถยนต์จะสามารถทำได้เองง่ายๆ แต่ยังมีข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยด้วย ดังนี้

          – ห้ามก่อให้เกิดประกายไฟ ในขณะพ่วงแบตเตอรี่

          – ระหว่างทำการพ่วงแบตเตอร์รี่ ระวังอย่าให้ปลายสายพ่วงสัมผัสกัน เพราะจะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร

          – ระวังอันตรายจากน้ำกรดในแบตเตอรี่

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://122.155.1.141/cmsdetail.pathum-6.63/29890/menu_3820/3704.1/ดูแลรักษาแบตเตอร์รี่รถยนต์

เติมน้ำมัน เต็มถัง กับ ครึ่งถัง แบบไหนประหยัดน้ำมันกว่ากัน

เติมน้ำมัน เต็มถัง กับ ครึ่งถัง แบบไหนประหยัดน้ำมันกว่ากัน

ถ้าเราเติมน้ำมันครึ่งถังเป็นประจำก็จะไม่ช่วยประหยัดน้ำมัน และส่งผลไม่ดีต่อเครื่องยนต์อีกด้วย เนื่องจากน้ำมันที่ไหลผ่านปั้มติ๊ก จะช่วยให้ปั้มติ๊กไม่ร้อนและมีการหล่อลื่นเมื่อ น้ำมันในถังเหลือน้อย จึงทำให้ปั้มติ๊กต้องทำงานหนักมากขึ้นในการสูบน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำลงไป ประกอบกับไม่มีน้ำมันมาห่อหุ้มเพื่อระบายความร้อน และหล่อลื่นของปั้มติ๊ก ซึ่งทั้งสองเหตุผลจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปั้มติ๊กเริ่มเสื่อมสภาพ

นอกจากนี้ ถ้าน้ำมันในถังน้อยจนเกินไป จะส่งผลให้กลไกลูกลอยวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถังเกิดความเสียหายได้ ยิ่งถ้าระดับน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับต่ำแล้วขับขี่ด้วยความเร็วสูง พร้อมยังผ่านพื้นถนนที่มีความขรุขระจะทำให้กลไกลูกลอยมีการสั่นสะเทือนและกระแทก อาจจะทำให้ลูกลอยหลุด และแสดงระดับน้ำมันในถังไม่เที่ยงตรง หรือเรียกอีกอย่างว่า เกจ์วัดระดับน้ำมันเสียนั่นเอง

แต่ถ้า เติมน้ำมัน ในขณะที่น้ำมันเกือบเต็มถัง หรือเติมน้ำมันที่มากเกินไป ไอระเหยของน้ำมันจะทำให้ระบบเครื่องยนต์มีปัญหา อีกทั้ง น้ำมันอาจจะซึม หรือกระฉอกออกมาจากฝาถังน้ำมัน ในขณะที่กำลังขับรถ อาจจะทำให้เปื้อน ทำลายสีรถ และเกิดอันตรายได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำ วิธีการ เติมน้ำมัน ที่ถูกต้องว่า ควรเติมน้ำมันให้เกิน ¾ ของถังน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้น้ำมันในถังน้ำมันแห้งบ่อยๆ เพราะจะส่งผลไม่ดีต่อรถของเรา อีกทั้ง รอให้น้ำมันเหลือ ¼ ของถังก่อน แล้วค่อย เติมน้ำมัน เพราะจะช่วยถนอมและรักษาเครื่องยนต์ให้ใช้ไปอีกยาวนาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://auto.mthai.com/news/tips/62793.html

“ลมดูด” จากรถคันหน้ามีจริงหรือ

“ลมดูด” จากรถคันหน้ามีจริงหรือ

ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต เรามักจะได้ยินผู้บรรยาย พูดถึงคำว่า Slipstream หรือ ลมดูด ในจังหวะที่รถแข่งกำลังจะไล่แซงกันในช่วงทางตรง แท้จริงแล้ว “Slipstream” มันคืออะไร และที่ผู้ใหญ่พูดกันว่าขับรถทางไกลระวังถูกรถสิบล้อดูด มันดูดได้จริงหรือ

ขับจี้ตูดแล้วแซง! นั่นแหละ Slipstream ในมอเตอร์สปอร์ต

หากพูดถึงในวงการมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรถสี่ล้อ หรือสองล้อ หากสังเกตให้ดี จังหวะแซงในช่วงทางตรงแต่ละครั้งนั้น รถคันที่ไล่มักจะต้องขับไล่จี้ท้ายรถคันหน้า (วิ่งอยู่ในเรซซิ่ง ไลน์เดียวกัน) ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางเพื่อแซงในที่สุด น้อยครั้งมากที่เราจะเห็นรถวิ่งมาคนละเรซซิ่งไลน์และแซงขึ้นหน้าแบบง่ายๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่ารถคันที่ไล่แซงจะต้องมีพละกำลังมากกว่าคันที่ถูกแซงมากพอสมควร

ฉะนั้นการขับแบบจี้ตูดแล้วแซงในสนามแข่งมอเตอร์สเปอร์ต คือเทคนิคที่นักแข่งทุกคนรู้ดี และนี่แหละที่เรียกกันว่า Slipstream หากอ้างอิงตาม “กลศาสตร์ของไหล” หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของของไหล (ของเหลวและก๊าซ) จะหมายถึง การที่วัตถุพุ่งแหวกอากาศ (รถวิ่งด้วยความเร็ว) ทำให้รถคันด้านหลังที่ตามมาในระยะประชิดไม่ต้องรับแรงปะทะจากอากาศ และเกิดช่องว่างระหว่างรถ 2 คัน ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่ไม่มีแรงต้านของมวลอากาศ และมีความดันอากาศต่ำ เปรียบเสมือนเป็นแรงดูดให้รถคันหลังเข้าไปได้ใกล้ขึ้นกว่าปกตินั่นเอง

Slipstream เทคนิคยอดฮิตการแข่งขันจักรยานทางไกล

ที่ผ่านมาเราเคยมีข่าวเศร้าที่มีคนปั่นจักรยาน พยายามปั่นตามท้ายรถสิบล้อ เพื่ออาศัย Slipstream เพื่อช่วยผ่อนแรงในการปั่น ทว่าสุดท้ายก็ประสบอุบัติเหตุหลุดเข้าไปอยู่ท้ายรถสิบล้อกันมาแล้ว อย่างไรก็ดีในการแข่งขันจักรยานทางไกล เทคนิคดังกล่าว ถือเป็นแนวทางที่นั่กปั่นส่วนใหญ่เลือกใช้

ในการปั่นจักรยานทางไกลนั้น นักปั่นจะใช้เทคนิคนี้ ปั่นประชิดจักรยานของคู่แข่ง ซึ่งตามศัพท์นักปั่นมักจะเรียกกันว่า “ดูด” หรือ “ซุก” เพื่อประหยัดแรง ซึ่งเป็นหลักการทางอากาศพลศาสตร์เดียวกันกับการแข่งขันในฝั่งมอเตอร์สปอร์ตเช่นกัน ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้นักกีฬาจักรยานประหยัดแรงได้ถึง 30-40 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ต้องย้ำว่า ต้องเป็นจักรยานกับจักรยานด้วยกันเท่านั้น ห้ามไปดูดท้ายรถยนต์หรือรถสิบล้อเป็นอันขาด

ขับทางไกลต้องระวัง “รถสิบล้อ” ดูดจริงหรือ

เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่คอยเตือนเสมอว่า หากขับรถทางไกล ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราขับรถเล็ก อย่าไปขับเข้าใกล้รถสิบล้อ จะเป็นอันตราย ซึ่งที่มาของคำเตือนนี้ก็มีหลักการมาจาก กลศาสตร์ของไหล เช่นเดียวกัน แต่ที่อันตรายกว่านั้นคือ รถบรรทุก เป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่และสูง เมื่อรถวิ่งแหวกอากาศไปด้วยความเร็ว จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างรถคันหลังมากกว่าการขับตามรถชนิดอื่นๆ

นั่นหมายความว่า หากคุณขับรถที่มีขนาดเล็ก ไล่ตั้งแต่ จักรยาน จักรยานยนต์ หรือขยับขึ้นมาเป็นรถในระดับอีโคคาร์ ซึ่งเป็นวัตถุที่มีน้ำหนักเบา ย่อมมีโอกาสเสี่ยงอันตรายจากการขับตามท้ายรถสิบล้อ หากขับจี้ในระยะประชิดนั่นเอง ขณะเดียวกันยังไม่รวมถึงอันตรายที่อาจจะเกิดจากการเบรกกะทันหัน รวมถึงจังหวะขับสวนรถบรรรทุกด้วยความเร็วสูง คุณจะรู้สึกได้ถึงมวลของอากาศที่เข้ามากระทบรถของคุณนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก https://auto.sanook.com/65425/

ขณะเติมน้ำมัน ต้องดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง หรือไม่?

ขณะเติมน้ำมัน ต้องดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง หรือไม่?

เติมน้ำมัน ทุกครั้ง เรามักได้ยินเสียงพนักงานปั้มน้ำมันบอกว่า ดับเครื่องยนต์ ด้วยครับ/ค่ะ ซึ่งบางคนก็ ดับเครื่องยนต์ บางคนก็ไม่ ดับเครื่องยนต์ จนทำให้หลายคนสงสัยและตั้งคำถามว่า แล้วถ้าไม่ ดับเครื่องยนต์ จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ จริงๆ แล้วจำเป็นหรือไม่ที่จะต้อง ดับเครื่องยนต์ วันนี้เราจะไปทำความเข้าใจกับเรื่องนี้กัน

ตามมาตรฐานของ สถานีบริการน้ำมัน ทั่วโลกจะมีกฎเหล็กที่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าเราสังเกตเห็นป้ายเตือนเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ดับเครื่องยนต์ ทุกครั้งขณะ เติมน้ำมัน, ห้ามสูบบุหรี่ขณะ เติมน้ำมัน, ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะ เติมน้ำมัน, และข้อสุดท้ายคือ ห้ามก่อประกายไฟอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย

สำหรับคนที่ช่างสังเกต เรามักจะเห็นไอน้ำมันที่ลอยละเหย อยู่รอบๆ ฝาขณะกำลัง เติมน้ำมัน อยู่ ซึ่งเจ้าตัวไอน้ำมันเนี๊ยแหละเป็นตัวอันตรายที่อาจจะก่อให้เกิดประกายไฟและไฟลุกไหม้ได้ ถึงแม้ว่าสถานีบริการน้ำมันจะมีการออกแบบให้มีจุกยางครอบฝาเติมน้ำมันเอาไว้แล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไอน้ำมันระเหยออกมา แต่สุดท้ายก็อาจจะมีการรั่วไหลได้อยู่ดี ถึงแม้จะมีปริมาณน้อยก็ตาม

สิ่งที่เป็นกฎเหล็กที่สถานีบริการน้ำมันต้องปฏิบัติ

ในขณะที่ เติมน้ำมัน ควรจะต้อง ดับเครื่องยนต์ ทุกครั้ง เพราะเนื่องจากเราจะไม่รู้เลยว่าชิ้นส่วนไหนบ้างของรถยนต์อาจจะเกิดความบกพร่องจนเป็นเหตุทำให้เกิดความร้อนจนไฟลุกไหม้ได้
ห้ามสูบบุหรี่ในขณะเติมน้ำมัน ซึ่งบุหรี่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ก่อให้เกิดการลุกไหม้
ห้ามใช้โทรศัพท์ ข้อนี้หลายคนก็จะงุนงงไม่น้อยว่าว่าข้อนี้เกี่ยวอะไร ซึ่งโทรศัพท์มือถืออาจจะมีความเสี่ยงจากความร้อนของคลื่นไฟฟ้าอยู่ดี
ห้ามก่อประกายไฟอย่างเด็ดขาด ข้อนี้ก็ตรงตัวอยู่แล้ว เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณเอง และคนรอบข้าง

ขับรถเดินทางไกล ต้องเติมลมยางอ่อนหรือแข็ง?

ขับรถเดินทางไกล ต้องเติมลมยางอ่อนหรือแข็ง?

 

บางคนอาจคิดว่า การขับรถเดินทางไกลควรที่จะเติมลมยางให้อ่อนกว่าปกติ เพราะคิดว่าเมื่อล้อหมุนนานๆ มันจะไปเพิ่มแรงดันลมยาง ทำให้แรงดันในยางมีมากขึ้น เสี่ยงที่จะเกิดอาการยางระเบิด ดังนั้นจึงไปลดแรงดันลมยางให้อ่อนลง ซึ่งจริงๆ แล้วมันถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะลมยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้ยางมีความยืดหยุ่นมากเกินพอดี แถมยังทำให้เกิดการเสียดสีกับถนนมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยางจะไม่สามารถคงรูปเป็นวงกลมได้ จะมีลักษณะเป็นคลื่นมากกว่า ยิ่งวิ่งใช้งานไปนานๆ จะยิ่งทำให้เกิดความร้อนสะสมเพิ่มมากขึ้น และเมื่อตกหลุม หรือโดนกระแทกแรงๆ ก็อาจทำให้ยางเกิดระเบิดได้ง่ายอีกด้วย

ทางที่ดีคุณจึงควรเติมแรงดันลมยางให้มากกว่าเดิมตามที่ผู้ผลิตแนะนำสักเล็กน้อย เช่น จากเดิมเติมลมยางปกติอยู่ที่ 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ก็ให้เติมเพิ่มเข้าไป 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) มันก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 32 – 33 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) นอกจากนี้หากคุณต้องขนของ หรือมีสัมภาระท้ายรถเยอะมากๆ คุณก็ควรที่จะเพิ่มแรงดันยางรถยนต์คู่หลังให้มากกว่าที่ระบุไว้ในคู่มือ เพื่อให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่วๆ ตัวรถ

การเติมลมยางให้มากกว่าเดิม นอกจากจะทำให้ยางรถยนต์คงที่ ลดการเสียดสีกับพื้นถนน และทำให้ไม่ระเบิดง่ายแล้ว มันยังช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเดินทางไกล หรือใกล้ อย่าลืมเช็กลมยางให้ดี จะได้เดินทางปลอดภัยไร้กังวล

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://auto.sanook.com/63485/